ลูกค้าที่ได้รับประสบการณ์ที่ดี มักจะกลับมาใช้บริการซ้ำ แนะนำแบรนด์ให้ผู้อื่น และอยู่กับแบรนด์ไปได้นาน แต่ในยุคที่การแข่งขันรุนแรง และความคาดหวังของลูกค้าเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ธุรกิจจะมั่นใจได้อย่างไรว่า ยังตอบโจทย์ลูกค้าได้อยู่เหมือนเดิม

ความพึงพอใจของลูกค้าไม่ใช่แค่เรื่องการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่คือการเข้าใจความต้องการของลูกค้าอย่างลึกซึ้ง และพยายามพัฒนาให้สามารถสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าได้มากกว่าเดิม ตั้งแต่การฟังเสียงลูกค้า ไปจนถึงการให้บริการที่เน้นสร้างความประทับใจ และอีกหลายวิธีที่ช่วยทำให้ประสบการณ์ของลูกค้าต่อแบรนด์นั้นดีมากยิ่งขึ้น
บทความนี้จะพาคุณไปดู 20 กลยุทธ์เพิ่มความพึงพอใจของลูกค้า ที่ใช้ได้จริง เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นระหว่างแบรนด์กับลูกค้า ช่วยเพิ่มความพึงพอใจ และช่วยให้ธุรกิจเติบโตอย่างมั่นคง
1. ฟังเสียงลูกค้าให้มากขึ้น
หนึ่งในวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการเข้าใจลูกค้า คือการเปิดใจฟังสิ่งที่ลูกค้าคิด ฟีดแบ็กที่ได้ไม่ว่าจะทางแบบสอบถาม รีวิว หรือการพูดคุยโดยตรง ล้วนเป็นโอกาสทองที่ช่วยให้เรารู้ว่าจุดไหนเวิร์ก และตรงไหนควรปรับ
ตัวอย่างเครื่องมือเก็บฟีดแบ็ก เช่น
- CSAT วัดว่าลูกค้าพึงพอใจกับบริการหรือประสบการณ์ที่เพิ่งได้รับมากน้อยแค่ไหน
- NPS วัดแนวโน้มที่ลูกค้าจะแนะนำแบรนด์ให้คนอื่น
- CES ดูว่าลูกค้ารู้สึกว่าง่ายหรือลำบากแค่ไหนกับการใช้บริการ
เมื่อฟีดแบ็กถูกนำมาทบทวนและนำไปปรับใช้อย่างจริงจัง ธุรกิจก็จะยิ่งมีโอกาสสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าได้มากยิ่งขึ้น
2. ออกไปพบลูกค้าตัวจริง
อยากเข้าใจลูกค้าให้มากขึ้น ก็สามารถเริ่มได้จากการออกไปพบปะกับลูกค้าโดยตรง และพูดคุย ไม่ว่าจะเป็นในงานอีเวนต์ ประชุมออนไลน์ หรือที่หน้าร้าน การพูดคุยจะช่วยให้ธุรกิจเข้าใจสิ่งที่ลูกค้าต้องการอย่างแท้จริง และสร้างความไว้ใจตั้งแต่ยังไม่เริ่มซื้อ
ประโยชน์ของการได้เจอลูกค้า
- ได้มุมมองจริงจากพฤติกรรมและความต้องการของลูกค้า
- สร้างประสบการณ์แบบเฉพาะบุคคลได้ง่ายขึ้น
- รับมือกับข้อกังวลต่าง ๆ ของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
3. ใช้หลัก 80/20 ให้เป็นประโยชน์
หลักการ Pareto หรือที่รู้จักกันว่า “กฎ 80/20” บอกเราว่า 80% ของรายได้ มักมาจากกลุ่มลูกค้าแค่ 20% ธุรกิจที่อยากรักษาความพึงพอใจของลูกค้า จึงควรโฟกัสไปที่ลูกค้าคนสำคัญกลุ่มนี้
วิธีนำไปใช้
- แยกลูกค้าที่ซื้อซ้ำหรือมีอิทธิพลต่อรายได้ออกมาให้ชัดเจน
- สร้างโปรแกรมดูแลหรือให้สิทธิพิเศษเฉพาะสำหรับกลุ่มนี้
- นำฟีดแบ็กจากลูกค้าคนสำคัญมาวิเคราะห์เพื่อนำไปพัฒนา
4. รู้จักลูกค้าให้มากขึ้น
การสร้างความสัมพันธ์ที่ดี ไม่ใช่แค่ทำให้ลูกค้าประทับใจตอนซื้อ แต่ต้องเข้าใจสิ่งที่เขาชอบ ไม่ชอบ หรือกังวล เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีกว่าครั้งก่อนหน้า
วิธีรู้จักลูกค้าให้มากขึ้น
- ดูประวัติการซื้อและการใช้บริการย้อนหลัง
- ทำแบบสอบถามเพื่อเข้าใจความคาดหวังของลูกค้า
- สื่อสารให้ตรงใจ และทำให้ลูกค้ารู้ว่าเราใส่ใจเขา
5. รู้จักตัวชี้วัดที่ใช่
จะวัดความพึงพอใจให้แม่นยำ ต้องใช้ตัวเลขและข้อมูล ไม่ใช่แค่ “เดา” ว่าลูกค้าพอใจหรือไม่ การรู้จักและใช้ตัวชี้วัดให้ถูกต้อง ช่วยให้ธุรกิจปรับตัวได้เร็วและตรงจุด
ตัวชี้วัดที่ควรใช้
- Customer Satisfaction Score (CSAT) วัดความรู้สึกลูกค้าหลังการใช้งาน
- Net Promoter Score (NPS) วัดโอกาสที่ลูกค้าจะแนะนำแบรนด์ให้คนอื่น
- Customer Effort Score (CES) วัดความง่ายในการใช้งานหรือรับบริการ
การติดตามตัวเลขเหล่านี้อย่างต่อเนื่อง จะทำให้เราเห็นเทรนด์และรู้ว่าควรพัฒนาเรื่องใดก่อน
6. ให้บริการแบบรวดเร็วและเฉพาะบุคคล
ในโลกที่ทุกอย่างหมุนเร็ว ลูกค้าคาดหวังบริการที่ทั้งเร็วและตรงใจ การให้บริการแบบ “รวดเร็วและเฉพาะบุคคล” จะช่วยสร้างประสบการณ์ที่น่าประทับใจ และเพิ่มโอกาสที่ลูกค้าจะกลับมาใช้บริการอีกครั้ง
วิธีทำให้บริการประทับใจและทันใจลูกค้า
- ใช้ระบบแชทบอทหรือ AI เพื่อตอบคำถามได้รวดเร็ว
- เปิดช่องทางให้ติดต่อแบบเรียลไทม์ เช่น Live Chat หรือโซเชียลมีเดีย
- ปรับการสื่อสารให้เหมาะกับพฤติกรรมและฟีดแบ็กล่าสุดของลูกค้าแต่ละคน
เมื่อเราลงแรงเพิ่มอีกนิด เพื่อมอบบริการที่ตอบโจทย์และเฉพาะบุคคลให้กับลูกค้า ลูกค้าจะรู้สึกว่าแบรนด์ใส่ใจ และมีแนวโน้มจะเกิด Brand loyalty ในระยะยาวมากขึ้น
7. สื่อสารกับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง
การสื่อสารที่ดีคือหัวใจของการสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า เพราะช่วยให้ลูกค้ารู้สึกมั่นใจว่าแบรนด์ใส่ใจ ได้รับรู้ข่าวสารจากแบรนด์ และเข้าใจถึงสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับแบรนด์
แนวทางการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ
- แจ้งข่าวสาร ฟีเจอร์ใหม่ หรือปัญหาที่อาจเกิดขึ้นแบบเชิงรุก
- เปิดช่องทางติดต่อหลากหลาย ทั้งอีเมล โทรศัพท์ และโซเชียลมีเดีย
- ฟังเสียงลูกค้าและแสดงออกว่าใส่ใจต่อความเห็นของลูกค้าจริง ๆ
การสื่อสารที่ดีและต่อเนื่อง ไม่เพียงแต่ช่วยลดปัญหา แต่ยังทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าแบรนด์เป็นพาร์ตเนอร์ที่ไว้ใจได้ในระยะยาว
8. วางกลยุทธ์ให้ชัดและคิดเผื่ออนาคต
การสร้างความพึงพอใจแบบยั่งยืน ไม่ใช่เรื่องที่ทำแค่ช่วงสั้น ๆ แต่ต้องวางแผนเชิงกลยุทธ์เพื่อให้สอดรับกับความต้องการของลูกค้าในระยะยาว
แนวทางวางแผนเชิงกลยุทธ์
- ระบุให้ได้ว่าอะไรคือ “ประสบการณ์ที่ดี” สำหรับลูกค้าของเรา
- ใช้ข้อมูลและระบบวิเคราะห์ เช่น AI หรือ Machine learning ช่วยคาดการณ์
- ทำให้ทุกทีมในองค์กรทำงานสอดคล้องกัน เพื่อส่งมอบประสบการณ์ที่ต่อเนื่อง
กลยุทธ์ที่ดีจะช่วยให้ธุรกิจพร้อมปรับตัวทันทีเมื่อพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยน และสามารถตอบสนองลูกค้าได้ก่อนที่เขาจะรู้ตัวว่าอยากได้อะไร
9. ขอแรงจากลูกค้าประจำ
ลูกค้าที่พึงพอใจอยู่แล้ว คือแหล่งขยายฐานลูกค้าที่ดีที่สุด คนที่มีประสบการณ์ดีมักจะเต็มใจบอกต่อ หากเราสร้างแรงจูงใจที่เหมาะสมให้ลูกค้าทำ
วิธีขอคำแนะนำจากลูกค้าที่ได้ผล
- เปิดโปรแกรมแนะนำเพื่อนที่ให้รางวัลทั้งคนแนะนำและผู้มาใหม่
- ให้ส่วนลดหรือสิทธิพิเศษเมื่อมีการแนะนำสำเร็จ
- แสดงรีวิวหรือคำชมจากลูกค้าจริงบนหน้าเว็บไซต์หรือโซเชียลมีเดีย
การบอกปากต่อปากจากคนที่ไว้ใจได้ ยังไงก็มีน้ำหนักมากกว่าการโฆษณาแน่นอน
10. ใช้ผลสำรวจให้เกิดประโยชน์จริง
แค่เก็บฟีดแบ็กจากลูกค้าไม่พอ สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคือการ “ลงมือทำ” จากสิ่งที่ลูกค้าบอก การวิเคราะห์ผลสำรวจช่วยให้เราเห็นว่าอะไรที่คนรัก และอะไรที่ยังต้องแก้
วิธีใช้ข้อมูลให้เกิดประโยชน์
- ดูแพทเทิร์นจากฟีดแบ็กว่าปัญหาซ้ำ ๆ อยู่ตรงไหน
- ติดตาม NPS เพื่อวัดระดับความภักดีที่ลูกค้ามีต่อแบรนด์
- แก้ปัญหาที่สร้างความไม่พึงพอใจให้กับลูกค้าก่อนจะสาย
เมื่อธุรกิจเอาอินไซต์จากฟีดแบ็กมาใช้จริง ลูกค้าก็จะรู้สึกว่า “เสียงของเขามีค่า” และนั่นคือจุดเริ่มต้นของความภักดีต่อแบรนด์ในระยะยาว
11. สร้างภาพลักษณ์ความเชี่ยวชาญให้ลูกค้าเห็น
ลูกค้ามีแนวโน้มไว้วางใจแบรนด์ที่แสดงให้เห็นว่า “รู้จริงและเชี่ยวชาญ” ในสิ่งที่ทำ เมื่อแบรนด์มีความน่าเชื่อถือในสายตาลูกค้า ความพึงพอใจและความภักดีต่อแบรนด์ก็จะตามมาโดยอัตโนมัติ
วิธีเสริมภาพความเชี่ยวชาญ
- เผยแพร่บทความ, คู่มือ หรือกรณีศึกษาเชิงลึกที่เกี่ยวกับธุรกิจ
- จัดเซสชันสาธิตการใช้งาน หรือกิจกรรมให้ความรู้กับลูกค้า
- มีศูนย์รวมความรู้ (Knowledge base) สำหรับตอบคำถามที่พบบ่อย
- แชร์เทรนด์ในอุตสาหกรรมและมุมมองจากผู้เชี่ยวชาญ
เมื่อแบรนด์กลายเป็น “แหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้” ลูกค้าก็จะรู้สึกมั่นใจมากขึ้นในการตัดสินใจซื้อ และยินดีแนะนำคุณให้คนอื่นต่อด้วย
12. วิเคราะห์ให้ได้ว่า อะไรที่ทำให้ลูกค้าไม่พอใจ
ไม่ใช่แค่สนใจเสียงชมเท่านั้น แบรนด์ที่อยากพัฒนา ต้องกล้าฟังคำติ และกล้ารับมือกับปัญหา เพราะเบื้องหลังของความไม่พึงพอใจ มักซ่อนโอกาสในการปรับปรุงให้กับธุรกิจอยู่เสมอ
แนวทางหาสาเหตุของความไม่พอใจ
- ตรวจสอบรีวิวเชิงลบ หรือคำร้องเรียนที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ
- ติดตามปฏิสัมพันธ์ของลูกค้า เพื่อหา “Pain Point” ที่ทำให้ลูกค้าไม่พึงพอใจ
- ใช้ข้อมูลหรือ AI วิเคราะห์ล่วงหน้าว่าอะไรอาจเป็นจุดเสี่ยงที่สามารถเกิดขึ้นได้กับแบรนด์
ถ้าเราแก้ไขข้อบกพร่องได้ก่อนที่ลูกค้าจะหมดความอดทน เราก็สามารถพลิกสถานการณ์จาก “ลูกค้าที่เกือบจะหายไป” ให้กลายเป็น “ลูกค้าที่ภักดีต่อแบรนด์” ได้เลย
13. สร้างธุรกิจให้หมุนรอบลูกค้า ไม่ใช่ตัวเอง
ธุรกิจที่เน้นลูกค้าเป็นศูนย์กลาง จะเข้าใจว่า “ลูกค้าไม่ได้ต้องการแค่สินค้าที่ดี แต่ต้องการประสบการณ์ที่รู้สึกว่าตัวเองสำคัญ” การออกแบบทุกกระบวนการโดยยึดลูกค้าเป็นหลัก จะช่วยเสริมสร้างความภักดีที่ลูกค้ามีต่อแบรนด์ในระยะยาว
วิธีทำให้ลูกค้าอยู่ใจกลางของธุรกิจ
- พัฒนาสินค้าและบริการจากเสียงของลูกค้า
- แนะนำพนักงานให้ใส่ใจและดูแลลูกค้าแบบมืออาชีพ
- ตั้งเป้าหมายขององค์กรโดยวัดจากความพึงพอใจของลูกค้า
- ปรับเส้นทางการใช้งาน (Customer journey) ให้ลื่นไหล ไม่มีจุดสะดุด
เมื่อองค์กรทุกฝ่ายให้ความสำคัญกับ “ประสบการณ์ของลูกค้า” เป็นอันดับแรก ความไว้วางใจจะเกิดขึ้น และการซื้อซ้ำก็จะตามมา
14. สำรวจความเห็นของลูกค้าอย่างสม่ำเสมอ
ธุรกิจที่อยู่รอดในระยะยาว คือธุรกิจที่รับฟังเสียงลูกค้าอยู่ตลอด เพราะความคาดหวังของคนนั้นมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา การสำรวจความพึงพอใจอย่างต่อเนื่องจึงสำคัญมากสำหรับธุรกิจ
วิธีเก็บข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ
- ใช้ CSAT เพื่อวัดความพึงพอใจในแต่ละจุด
- ใช้ NPS เพื่อดูว่าลูกค้ายินดีแนะนำแบรนด์หรือไม่
- วิเคราะห์ฟีดแบ็กเพื่อตรวจหาจุดบกพร่องที่อาจซ่อนอยู่
- เก็บฟีดแบ็กในทุกช่องทาง ไม่ใช่แค่หลังการซื้อ
ยิ่งรู้ว่าลูกค้าคิดอะไรเร็วเท่าไร ก็ยิ่งสามารถปรับปรุงได้ทันท่วงที
15. ตอบคำถามที่ลูกค้าอยากรู้ก่อนเขาจะถาม
ลูกค้าหลายคนไม่ซื้อสินค้า เพราะไม่เจอคำตอบในสิ่งที่สงสัย ถ้าเราสามารถให้ข้อมูลที่ชัดเจน ตั้งแต่ราคา การจัดส่ง วิธีใช้งาน ไปจนถึงบริการหลังการขายได้ตั้งแต่ต้น ก็จะลดความลังเล และเพิ่มโอกาสในการปิดการขายได้มากขึ้น
วิธีตอบคำถามให้ตรงจุด
- สร้างหน้า FAQ หรือศูนย์ช่วยเหลือที่ค้นหาได้ง่าย
- ให้ทีมงานเตรียมพร้อมสำหรับการบริการลูกค้าแบบมืออาชีพ
- ใช้แชทบอทหรือ AI ช่วยตอบคำถามทั่วไปให้ทันที
- อัปเดตข้อมูลให้สดใหม่เสมอ ตามเทรนด์การเปลี่ยนแปลงของลูกค้า
การตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว ช่วยเสริมความมั่นใจ และลดโอกาสที่ลูกค้าจะเปลี่ยนใจไปหาแบรนด์อื่น
16. เปิดให้ลูกค้าติดต่อได้หลายช่องทาง
ลูกค้ายุคนี้ต้องการความสะดวก และอยากติดต่อกับแบรนด์ผ่านช่องทางที่ถนัด ไม่ว่าจะเป็นอีเมล โทรศัพท์ โซเชียลมีเดีย หรือแชตหน้าเว็บไซต์ การให้บริการแบบหลายช่องทาง (Omnichannel) จะช่วยยกระดับประสบการณ์และสร้างความพึงพอใจได้มากขึ้น
วิธีทำให้การติดต่อหลายช่องทางเป็นเรื่องง่าย
- เชื่อมโยงข้อมูลระหว่างช่องทาง เพื่อให้ลูกค้าไม่ต้องพูดเรื่องเดิมซ้ำ
- เทรนทีมบริการให้ดูแลลูกค้าได้ทุกช่องทาง
- ใช้แชทบอทหรือ AI ช่วยตอบคำถามที่พบบ่อย
- รักษามาตรฐานคุณภาพการให้บริการให้เท่ากันในทุกช่องทาง
เมื่อการติดต่อกลายเป็นเรื่องง่าย ลูกค้าก็จะรู้สึกว่าแบรนด์เข้าใจเขา และพร้อมดูแลทุกที่ ทุกเวลา
17. เปลี่ยนการเก็บฟีดแบ็กให้กลายเป็นวัฒนธรรมองค์กร
การขอความคิดเห็นจากลูกค้าไม่ควรเป็นแค่กิจกรรมที่เกิดขึ้นเป็นครั้งคราว แต่ควรทำให้เป็นกระบวนการทำงานที่เกิดขึ้นเป็นประจำในทุกแผนก เพื่อให้ทุกคนในองค์กรเห็นความสำคัญของเสียงจากลูกค้า
วิธีทำให้การเก็บฟีดแบ็กเป็นระบบจริงจัง
- เปิดโอกาสให้ทุกทีมมีส่วนร่วมในการเก็บและวิเคราะห์ความคิดเห็น
- ใช้เครื่องมือ เช่น แบบสอบถามหรือระบบแชตสด เพื่อดึงฟีดแบ็กแบบเรียลไทม์
- สร้างระบบติดตามผลฟีดแบ็ก เพื่อให้ข้อมูลไม่หายไปเฉย ๆ
- ให้รางวัลหรือยกย่องทีมที่เก็บข้อมูลมาได้อย่างมีคุณภาพ
เมื่อฟีดแบ็กกลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมองค์กร การพัฒนาแบรนด์ก็จะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
18. วัดผลความพึงพอใจอย่างสม่ำเสมอ
ถ้าไม่วัดผล ก็จะไม่รู้ว่าต้องพัฒนาอะไร เพราะฉะนั้นต้องมีระบบประเมินความพึงพอใจของลูกค้าอยู่ตลอด ไม่ใช่รอให้เกิดปัญหาแล้วค่อยทำอะไร
วิธีวัดผลอย่างมีประสิทธิภาพ
- ใช้ CSAT เพื่อดูว่าลูกค้ารู้สึกอย่างไรหลังจบการบริการ
- ติดตาม NPS เพื่อประเมินความภักดีในระยะยาว
- วัด CES เพื่อดูว่าลูกค้าทำสิ่งที่ต้องการได้ง่ายหรือยุ่งยากแค่ไหน
เมื่อมีตัวชี้วัดที่ชัดเจน ธุรกิจก็จะสามารถตัดสินใจได้จากข้อมูล ไม่ใช่ความรู้สึก
19. ขอความคิดเห็นจากลูกคัาจากทุกจุดการใช้งาน
ลูกค้าแต่ละคนอาจมีประสบการณ์ที่แตกต่างกันในแต่ละช่วงของการเดินทางกับแบรนด์ (Customer journey) ดังนั้น การเก็บฟีดแบ็กควรครอบคลุมตั้งแต่ต้นจนจบ
แนวทางการเก็บฟีดแบ็กแบบครบวงจร
- หลังจบการให้บริการ ให้ลูกค้าให้คะแนนหรือแสดงความคิดเห็นทันที
- สอบถามลูกค้าที่ไม่ซื้อว่าติดขัดตรงไหน เพื่อเรียนรู้จากข้อผิดพลาด
- คุยกับลูกค้าประจำว่าอะไรทำให้เขากลับมาอีก
- ฝังแบบสอบถามสั้น ๆ ไว้ในหน้าเว็บไซต์เพื่อเก็บข้อมูลขณะใช้งาน
ยิ่งเข้าใจพฤติกรรมของลูกค้าในแต่ละจุดมากเท่าไร ก็ยิ่งสามารถปรับประสบการณ์ให้ตอบโจทย์ได้มากขึ้นเท่านั้น
20. ตอบกลับทุกความคิดเห็น
การเก็บฟีดแบ็กโดยไม่มีการตอบกลับ อาจทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าเสียงของเขาไม่มีค่า แต่ถ้าเราใส่ใจพอที่จะตอบกลับหาลูกค้า ไม่ว่าลูกค้าจะมอบคำชม คำติ หรือคำถามกลับมา สิ่งนี้จะช่วยให้ความสัมพันธ์ระหว่างลูกค้ากับแบรนด์นั่นแน่นแฟ้นและใกล้ชิดมากยิ่งขึ้น
แนวทางการตอบฟีดแบ็กที่ดี
- ตอบทั้งรีวิวที่ดีและไม่ดีอย่างจริงใจ
- เขียนข้อความตอบกลับให้เหมาะสมกับแต่ละเคส อย่าใช้ข้อความสำเร็จรูปแบบเดียวกันหมด
- แก้ไขปัญหาที่เกิดซ้ำ และอัปเดตลูกค้าให้รู้ว่าเราแก้ไขแล้ว
- ใช้เทคโนโลยีช่วยจัดกลุ่มและวิเคราะห์ฟีดแบ็กเพื่อให้ตอบได้เร็วขึ้น
เมื่อเราแสดงให้ลูกค้าเห็นว่าฟีดแบ็กของลูกค้ามีผลต่อการเปลี่ยนแปลงจริง ๆ พวกเขาก็จะรู้สึกผูกพันกับแบรนด์มากขึ้นนั่นเอง
การสร้างความพึงพอใจให้ลูกค้าไม่ใช่เรื่องที่ทำแค่ครั้งเดียวแล้วจบ แต่มันคือกระบวนการที่ต้องทำซ้ำอย่างสม่ำเสมอ ฟังลูกค้า วิเคราะห์สิ่งที่เขาพูด แล้วลงมือปรับปรุงให้ดีขึ้นทุกวัน เมื่อธุรกิจใส่ใจประสบการณ์ของลูกค้าทุกมิติ ตั้งแต่บริการหน้าร้านไปจนถึงหลังบ้าน ความไว้วางใจและความภักดีที่ลูกค้ามีต่อแบรนด์จะตามมาโดยธรรมชาติ และพร้อมพาธุรกิจเติบโตอย่างมั่นคงในระยะยาว
Milieu เป็นผู้นำด้านซอฟต์แวร์ Online Survey และ Market Research จากสิงคโปร์ ที่ช่วยให้ธุรกิจเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ ด้วยเทคนิคการทำ Sampling ที่มีประสิทธิภาพ ติดตาม กลยุทธ์แบบ Data-driven พร้อมอัปเดตงานวิจัย และ Insight ล่าสุดจากทีมผู้เชี่ยวชาญของเราได้เลยที่นี่